ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ 'พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566' มีผลวันถัดจากวันที่ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา (17 มี.ค. 66) เพื่อคุ้มครองประชาชนจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ของกฎหมาย คือ การคุ้มครองประชาชนผู้สุจริตซึ่งถูกหลอกลวงจนสูญเสียไปซึ่งทรัพย์สิน ผ่านโทรศัพท์หรือวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายสําคัญที่รัฐบาลผลักดันออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์ และปัญหาอาชญากรรมทางออนไลน์ทั้งหมด คาดว่าปัญหาจะลดลงอย่างแน่นอน สําหรับบทลงโทษสูงสุดของผู้กระทําความผิดที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 2-5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า พ.ร.ก.มีบทลงโทษที่ชัดเจนสําหรับผู้กระทําผิด รวมทั้งผู้เปิดบัญชีม้า และผู้ให้การสนับสนุน ซึ่งสมาคมธนาคารไทยตระหนักถึงความสําคัญในการดูแลช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้บริการจําเป็นต้องรู้เท่าทันภัยทางการเงิน และปฏิบัติตามแนวทางการใช้งานโมบายแบงกิ้งให้ปลอดภัย ซึ่งเป็นเกราะป้องกันภัยสําคัญจากภัยทางการเงิน
นายวิทยา นีติธรรม ผู้อํานวยการกองกฎหมาย สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สํานักงาน ปปง.) กล่าวว่า ได้มีการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการปฏิบัติตามพระราชกําหนดฉบับนี้ โดยใช้ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในการรองรับข้อมูลที่ได้จากธนาคารและสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และยังได้ร่วมประชุมกับสมาคมธนาคารไทยและสํานักงานตํารวจแห่งชาติมาโดยตลอดเพื่อเฝ้าระวังและระงับช่องทางการทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
สรุปสาระสำคัญ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ดังนี้
มาตรา 4 เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับการกระทําความผิดอาชญากรรมเทคโนโลยี สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการ เครือข่ายโทรศัพท์/อินเทอร์เน็ตและผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องสามารถเปิดเผยแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ สะดวกรวดเร็ว ผ่านระบบ/กระบวนการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้หน่วยงานรัฐ เช่น ตํารวจ สามารถนําข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการจัดการอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ทันท่วงที โดยที่ผ่านมาธนาคาร ไม่มีอํานาจในการเปิดเผยแลกเปลี่ยนข้อมูลของ ประชาชน ทําให้ไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ พ.ร.ก. นี้ จะสร้างระบบให้หน่วยงานต่างๆ ทํางานร่วมกันได้อย่างสะดวก รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
มาตรา 5 เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับการกระทําความผิดฯ ตํารวจ DSI หรือ ปปง. สามารถขอรับข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากผู้ให้บริการโทรศัพท์/อินเทอร์เน็ตได้สะดวกรวดเร็วขึ้นแก้ปัญหาเดิมที่ติดขัดกฎระเบียบต่างๆ ทําให้แก้ปัญหาให้ประชาชนได้ไม่ทันท่วงที พ.ร.ก. นี้ จะช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในการขอข้อมูลที่รวดเร็วขึ้น
มาตรา 6 หากมีเหตุอันควรสงสัยว่า บัญชีใดเกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดฯ ธนาคารสามารถระงับการทําธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบัญชีดังกล่าวได้ทันที (ระงับไว้ได้ไม่เกิน 7 วัน) และสามารถแจ้งต่อให้ธนาคารอื่นระงับ ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องได้ด้วย นอกจากนี้ หากตํารวจ หรือ ปปง. เป็นผู้พบเหตุฯ ก็สามารถแจ้งธนาคารให้ระงับการทําธุรกรรมได้ทันทีเช่นกัน ทั้งนี้ หากพ้น 7 วันแล้ว ไม่มีหลักฐานเอาผิดได้ให้ธนาคารยกเลิกการระงับการทําธุรกรรมดังกล่าว โดยที่ผ่านมาธนาคารตํารวจ และ ปปง. จะสามารถระงับบัญชีได้ก็ต่อเมื่อมีผู้เสียหายแจ้งความ และมีขั้นตอนต่างๆ ทําให้ไม่สามารถระงับบัญชีต้องสงสัยได้ทันท่วงที พร้อมทั้งการทํางานเชิงรุกเพื่อตรวจจับและระงับบัญชีต้องสงสัยได้ก่อนเกิดเหตุ ซึ่งเป็นการตัดช่องทางกระทําความผิดของอาชญากร
มาตรา 7 หากประชาชนซึ่งเป็นผู้เสียหายเป็นผู้แจ้งว่า บัญชีใดอาจเกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดธนาคารสามารถระงับบัญชีนั้นได้ทันที (ระงับไว้ได้ไม่เกิน 7 วัน) และธนาคารสามารถแจ้งข้อมูลต่อให้ธนาคารอื่นทราบเพื่อระงับบัญชีอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยประชาชนผู้เสียหายต้องไปแจ้งความภายในภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อเป็นหลักฐาน และพนักงานสอบสวนจะต้องดําเนินการเกี่ยวกับบัญชีดังกล่าวภายใน 7 วัน หากไม่มีคําสั่งให้ระงับการทําธุรกรรมไว้ต่อไปให้ธนาคารยกเลิกการระงับการทําธุรกรรมของบัญชีนั้น โดยการแจ้งระงับบัญชีต้องสงสัยแบบเดิมมีขั้นตอนมาก ต้องรอให้ประชาชนแจ้งความร้องทุกข์ และมีคําสั่งจากเจ้าหน้าที่ตํารวจให้ระงับบัญชีหรือการทําธุรกรรมนั้นเสียก่อน ทําให้ธนาคารไม่สามารถระงับบัญชีต้องสงสัยได้ทันท่วงที
มาตรา 8 สามารถแจ้งธนาคารทางโทรศัพท์หรือทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ (ไม่ต้องทําหนังสือเป็นทางการหรือกรอกแบบฟอร์ม) นอกจากนี้การแจ้งความเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสามารถแจ้งที่กองบัญชาการตํารวจ สืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือสถานีตํารวจใดก็ได้ทั่วประเทศ (ไปที่สถานีตํารวจ หรือแจ้งทาง ระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้)
มาตรา 9 การเปิดหรือยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝากหรือหมายเลขโทรศัพท์ของตนเอง (เพื่อใช้กระทําความผิด) มีโทษจําคุก 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท
มาตรา 10 และ 11 การเป็นธุระจัดหาหรือโฆษณาเพื่อให้มีการซื้อ ขาย เช่า ยืม บัญชีเงินฝาก/หมายเลขโทรศัพท์ (เพื่อใช้กระทําความผิด) มีโทษจําคุก 2-5 ปี หรือปรับ 200,000-500,000 บาท
ภาพต้นฉบับ
https://www.nbtc.go.th/News/Information/59507.aspx