วันที่ 27 ก.ย. 2564 พันเอก ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. กล่าวว่า มติประชุม กสทช. ครั้งที่ 10/2564 เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ได้พิจารณาเห็นชอบแผนการพิจารณาอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่และประกอบกิจการกระจายเสียง (Roadmap) เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านระบบการใช้งานคลื่นความถี่วิทยุกระจายเสียงไปสู่ระบบการอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการอนุญาตให้ใช้งานคลื่นความถี่และประกอบกิจการกระจายเสียง
โดย กสทช. จะพิจารณาอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในระบบ F.M. จำนวน 313 คลื่นความถี่ และระบบ A.M. จำนวน 196 คลื่นความถี่ แบ่งเป็นประเภทบริการสาธารณะ จะพิจารณาตามมาตรา 74 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 และประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 ส่วนประเภทบริการทางธุรกิจ จะดำเนินการโดยวิธีการประมูล ทั้งนี้ กระบวนการดังกล่าวจะดำเนินการแล้วเสร็จก่อนวันที่ 4 เมษายน 2565 นอกจากนี้ Roadmap ยังได้กำหนดให้การเปลี่ยนผ่านการทดลองประกอบกิจการกระจายเสียงเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2565 เป็นต้นไป โดยให้มีการพิจารณาอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ด้วยกำลังส่งต่ำในประเภทบริการชุมชน และบริการสาธารณะ ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2565 ส่วนผู้ประกอบกิจการประเภทบริการทางธุรกิจ ให้ดำเนินการยื่นคำขอทดลองออกอากาศวิทยุกระจายเสียงด้วยกำลังส่งต่ำ และเข้าสู่กระบวนการอนุญาตตามกฎหมาย ซึ่งสำนักงาน กสทช. จะประกาศให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ หากผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงรายใดไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการอนุญาตตามกฎหมายได้ ให้ยุติการออกอากาศวิทยุกระจายเสียงในปี 2567
ปัจจุบันผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. ผู้รับอนุญาตให้ใช้งานคลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการกระจายเสียงตามมาตรา 83 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่กำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 509 สถานี แบ่งเป็นระบบ FM 313 สถานี และระบบ AM จำนวน 196 สถานี และตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 76/2559 เรื่อง มาตรการส่งเสริมการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ได้กำหนดให้ระยะเวลาในการถือครองคลื่นความถี่ของผู้รับอนุญาตตามมาตรา 83 สิ้นสุดลงในวันที่ 3 เมษายน 2565
2. ผู้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง ปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 4,371 สถานี แบ่งเป็นประเภทบริการชุมชน 263 สถานี บริการสาธารณะ 692 สถานี และบริการทางธุรกิจ 3,416 สถานี ซึ่งมาจากการที่ กสทช. ได้เปิดให้มีการลงทะเบียนเพื่อให้มีสถานะเป็นผู้ได้รับสิทธิทดลองออกอากาศในลักษณะชั่วคราว ตามประกาศ กทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตประกอบกิจการบริการชุมชนชั่วคราว (วิทยุกระจายเสียงชุมชน) ต่อมาในปี 2555 กสทช. ได้ออกประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ. 2555 และกำหนดให้ผู้ได้รับสิทธิทดลองออกอากาศในลักษณะชั่วคราว เข้าสู่กระบวนการขอรับใบอนุญาตทดลองประกอบกิจการ โดยสามารถยื่นคำขอรับใบอนุญาตให้สอดคล้องตามประเภทการให้บริการได้ 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทบริการชุมชน บริการสาธารณะ และบริการทางธุรกิจ
ต่อมา ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาในคดีแดงหมายเลขที่ อ.1365/2563 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ให้เพิกถอนข้อ 7 ของประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ. 2555 กำหนดสิทธิในการยื่นคำขอทดลองประกอบกิจการว่าผู้ยื่นจะต้องเป็นผู้ได้รับสิทธิทดลองออกอากาศในลักษณะชั่วคราว หรือวิทยุชุมชนมาก่อน ทำให้ผู้ที่ประกอบกิจการวิทยุธุรกิจอยู่เดิมไม่สามารถยื่นขอรับใบอนุญาตได้ อีกทั้งบทบัญญัติดังกล่าวยังขัดกับมาตรา 41 แห่ง พ.ร.บ. องค์กรฯ ที่บัญญัติให้การอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ต้องคำนึงถึงการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม และการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ประเภทบริการทางธุรกิจให้ใช้วิธีคัดเลือกโดยวิธีการประมูลคลื่นความถี่ โดยการเพิกถอนดังกล่าวมีผลย้อนหลังไปจนถึงวันที่ประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ดังนั้น กสทช. จึงต้องกำหนด Roadmap ข้างต้นเพื่อให้การประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงมีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
“การดำเนินการของ กสทช. จะเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องตาม Roadmap เพื่อให้การให้บริการกระจายเสียงภายหลังวันที่ 4 เมษายน 2565 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบกิจการกระจายเสียงรายใหม่สามารถเข้าสู่ระบบการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ได้” พันเอก ดร.นที กล่าว
#ข่าวประชาสัมพันธ์
#สำนักสื่อสารองค์กร
#สำนักงานกสทช.
สอบถามเพิ่มเติมได้ทาง กสทช. Call Center 1200 (โทรฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย)